เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ก.ย. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเรามันว่ามันอาศัย อาศัยความสุขความทุกข์เป็นเครื่องอาศัย ถ้าอาศัยในหัวใจนะ ความสุขความทุกข์ในหัวใจนี่มันเป็นที่พึ่งอาศัยไป ความสุขความทุกข์ข้างนอกมันก็ต้องอาศัยใจเป็นที่รับรู้ต่าง ๆ แต่ใจมันประหลาดมาก ถ้าใจมันประหลาดนี่พญามารมันคุมในหัวใจไง ถ้าพญามารมันคุมในหัวใจนี่มันคิดไปตามประสามันนะ ถ้ามันคิดมันต้องการมันดิ้นรนไปประสามันเราไม่มีสิทธิ์ไปยับยั้ง

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม แสดงปฏิกิริยาให้พระอานนท์ถึง ๑๖ ครั้ง ให้พระอานนท์นิมนต์ให้อยู่ได้อีกกัปหนึ่งก็จะอยู่ได้ แต่พระอานนท์คิดไม่ถึง ขนาดมีธรรมในหัวใจมารยังดลใจได้ขนาดนั้น ในพระไตรปิฎกว่ามารดลใจ มารดลใจให้พระอานนท์คิดไม่ออก แม้แต่เป็นนักปราชญ์ เห็นไหม เป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ที่มีปัญญามาก เป็นพหูสูต ได้เอตทัคคะในทางต่าง ๆ ตั้งหลายแขนง แต่ในความเห็นที่จะเป็นประโยชน์น่ะยังคิดไม่ได้เลย

นั่นน่ะเวลาคิดไม่ได้ เห็นไหม เป็นประโยชน์กับโลก จนถึงสุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าปรินิพพานไป หมู่คณะปรับอาบัติ ปรับอาบัติพระอานนท์ พระอานนท์บอกว่า “ไม่มีอาบัติในเรา เรานึกไม่ได้เลย” ว่าไม่มีอาบัติ แต่เพื่อความสามัคคีในหมู่คณะ ยอมปลงอาบัติ ๒ ข้อ

ข้อ ๑. คือไม่ได้นิมนต์พระพุทธเจ้าไว้

ข้อ ๒. เวลาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้านี่เหยียบผ้าที่วางไว้ไง ผ้าพวกผ้าอาบผ้าอะไรวางไว้ แล้วพระอานนท์ไปเหยียบย่ำ

พระเขาเห็นแล้วเขาทนไม่ได้ เขาบอก “ปรับพระอานนท์เป็น ๒ ข้อ” แต่พระอานนท์บอกว่า “ไม่เป็นอาบัติ เพราะมันไม่มีเจตนา” เขาไม่ได้ตั้งใจเลย เขาเคารพพระพุทธเจ้ามาก การเหยียบนั้นอาจจะพลั้งเผลอไปบ้างเป็นปกติ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งคือ นิมนต์พระพุทธเจ้าไว้นี่ก็ไม่ได้นิมนต์ไว้ แต่เพราะปลงอาบัติเป็นอาบัติทุกกฎ ๒ ข้อ พระอานนท์ยอมปลงอาบัติเพราะพระอานนท์เป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เริ่มต้นสังคายนา จิตสำเร็จตั้งแต่ตอนสังคายนานั้น เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ไม่มีทิฏฐิมานะในหัวใจ

แต่ขณะที่ว่ายังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มันยังมีมารดลใจ ดลใจให้พระอานนท์นี่พลั้งเผลอไป แล้วในหัวใจของพวกเรานี่มันจะมีอะไรดลใจเราไหม ทำให้เราพลั้งเผลอไปในความคิดเห็นต่าง ๆ ความคิดของเรานี่มันจะพลัดพรากไป นี่พญามารไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก “การคบมิตรดีคือคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” มิตรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพาให้เราพ้นทุกข์ พยายามพาให้เรามีสติสัมปชัญญะ

เราศึกษาธรรม เราอ่านหนังสือพระไตรปิฎกนี่อ่านขึ้นมาเพื่อประโยชน์ เพื่อความกระจ่างแจ้ง เพื่อความเอารัดเอาเปรียบ เอารัดเอาเปรียบกิเลส ไม่ให้กิเลสมันมีพื้นที่ในหัวใจ ให้มันทำงานของมันได้เต็มที่ของมัน เวลามันทำงานเต็มที่นี่ความคิดที่ว่าเราไม่ควรจะคิดเลยมันก็คิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ามันคิดขึ้นมานี่เรามีสติอยู่เราก็ยับยั้งมันได้ ถ้าเราไม่มีสติอยู่ เราพลั้งเผลอไป นั้นล่ะคือมาร

มารคือในหัวใจเรา มารของเรานี่ทำให้เราไขว้เขวไปในความเห็นต่าง ๆ ของเรา เวลามันเกิดความคิดที่แปลกประหลาดขึ้นมาในหัวใจมันจะพลิกแพลงคิดของมันไปตลอดเวลา เพราะมันไม่ได้คบมิตร ถ้าเราคบมิตร เราคบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ คบแต่ธรรม เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ความคิดที่มันผิดศีล ผิดจรรยาบรรณ มันก็เป็นสิ่งที่ผิดศีลแล้ว เป็นความผิดปกติในหัวใจของเรานี่ ไม่ควรคิด ไม่ควรจะไปใส่ใจกับมัน

แต่มันยับยั้งไม่ได้ เพราะมันมีมารในหัวใจ มารตัวนี้มันทำให้เรานี้มันฟุ้งซ่านไปตลอดเวลา เราจะพยายามทำอย่างไรให้มันยับยั้งของมันได้ ถ้ายับยั้งได้ให้เราไม่ทำความผิดพลาดไป ถ้าเราไม่ทำผิดพลาดไปเราจะไม่สร้างกรรมชั่ว อกุศลกรรมในกรรมชั่วของเรานี่ ความคิดไม่ดีมันก็เป็นมโนกรรมอยู่แล้ว ไม่ให้มันเกิดขึ้นมาในหัวใจ ถ้าไม่ให้เกิดขึ้นมาในหัวใจนี่เราคบธรรม

คบธรรม เห็นไหม คบธรรมต้องฝึกฝน พยายามประพฤติปฏิบัติสร้างสติขึ้นมา เราจะให้ใจเรารวมตัวขึ้นมานี่เราไม่เคยเห็นใจของเรา เราว่าใจของเราอยู่ที่ไหนเวลาเราคิดถึงน่ะ มีกายกับใจ แต่คนถ้าสติไม่สงบขึ้นมาจะไม่เห็นใจของตัวเองเลย ถ้าใจของตัวเองสงบขึ้นมา จะเกิดปีติ จะเกิดสุข จะเกิดเอกัคคตารมณ์ จิตนี้เป็นหนึ่งเดียว แล้วควบคุมจิตของเราได้

มีพระมาถามปัญหามากว่ามันเกิดขึ้นมานี่ เวลาจิตมันสงบขึ้นมาแล้วไปเห็นสิ่งต่าง ๆ เห็นกายนี้แตกเลยนะ ทุกอย่างนี้เป็นไปตามสภาวะ อันนั้นน่ะมันควบคุมไม่ได้เพราะอะไร?

เพราะเราไม่ได้ทำจิตของเราให้เป็นหนึ่ง สัมมาสมาธิจิตนี้เป็นหนึ่ง แล้วเราฝึกฝนของเราขึ้นไป มันจะเห็นกาย เห็นสิ่งต่าง ๆ เห็นจิต เห็นอะไร แล้วค่อยพลิกแพลง ค่อยแยกแยะออกไป สิ่งที่แยกแยะออกได้นี่คือเราเจริญขึ้นมา เราสร้างความงอกงามขึ้นมาจากใจ แต่ที่ว่าเราทำขึ้นไปนี่มันเป็นไปได้เพราะอำนาจวาสนาของเราเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราว มันจะเห็นจากสภาวะของสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมาแต่มันก็หลุดไม้หลุดมือไป เพราะเราไม่สามารถควบคุมได้ เราไม่สามารถ

เหมือนกับเราฝึกงานน่ะ เราฝึกงานจากไม่เป็นเลย เราก็จะเป็นงานขึ้นมา แล้วเราฝึกฝนงานขึ้นมานี่ ใครจะมาหลอกเราไม่ได้เลย งานที่ว่าเราเคยผ่านมาแล้วนี่ใครจะมาหลอกเรา เราก็รู้ว่างานอย่างนี้เราเคยผ่านมา เราทำของเราได้ จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันฝึกฝน มันพยายามประคับประคองใจขึ้นมา มันสร้างสมของมันขึ้นมา มันพัฒนาของมันขึ้นมา เวลามันเห็นสิ่งใดนี่มันเป็นเอกัคคตารมณ์ ตั้งมั่นขึ้นมา

แล้วน้อมไปสู่การงาน น้อมไปสู่วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณจะเริ่มชำระ นี่คบธรรม ธรรมจะเกิดขึ้นในหัวใจ เนื้อของธรรมเกิดขึ้นจากใจ ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นจากความเห็นของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นพัฒนาขึ้นมา เจริญงอกงามขึ้นมา นี่คบธรรม ถ้าคบธรรมกิเลสมันจะกลัว มารมันจะกลัวธรรมมาก กลัวธรรมมากเพราะว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าจะประหัตประหารมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป ตั้งแต่เริ่มเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานี่ “ปรินิพพานเถิด ๆ” พยายามจะให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป เพราะกลัวว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเผยแผ่ธรรมไป “มารเอย เราเห็นเธอเกิดจากหัวใจของเรา เธอเกิดจากความดำริของเรา เธอจะเกิดอีกไม่ได้เลย”

แต่พญามารก็พยายามจะดลใจ พยายามจะต่อกรตลอดเวลา ให้ปรินิพพานไป จนสุดท้ายปลงอายุสังขาร จนบอกพระอานนท์ให้เข้าใจ พระอานนท์ไม่นิมนต์ไว้ ท่านก็บอกว่า “ต่อไปนี้อีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันมาฆบูชานี่ ตั้งแต่บัดนี้ไป อีก ๓ เดือนเราจะปรินิพพาน เพราะภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่าง ๆ ได้”

นี่พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ “ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่าง ๆ ได้ ต่อนี้ไปอีก ๓ เดือนเราจะปรินิพพาน” ถึงแล้วก็ปรินิพพานไป นั่นน่ะมารในหัวใจกลัวธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไม่สามารถจะรู้ทันไปหมดเลย แต่ทันในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ววางธรรมไว้ สงสารสัตว์โลกมาก อยากให้สัตว์โลกมีธรรม

แล้วเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติกัน เราศึกษาธรรมขึ้นมานี่มันเป็นส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ส่วนหยาบขึ้นมานี่เราศึกษา เราใคร่ครวญ เหมือนเราอ่านแผนที่เลย เราดูแผนที่ขึ้นมาแล้วเราไม่เดินตามแผนที่ไป เราซื้อยามา เห็นไหม อ่านแต่ฉลากยานี่ ยานี้แก้ไข้แก้โรคต่าง ๆ แต่เราไม่ได้กินยานั้นน่ะ มันไม่รักษาขึ้นมาหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมในใจของเราเกิดขึ้นมา สมาธิธรรมความสงบของใจนี่ ใจจะรู้เลย อ๋อ...รสชาติเป็นอย่างนี้ นี่รสของธรรม ใจนี้สัมผัสกับความรู้สึกขึ้นมามันจะเริ่มมีความเย็นใจขึ้นมา แล้วพยายามจะทำให้มันทรงตัวขึ้นมาให้ได้ ทรงตัวขึ้นมาได้ก็เป็นเอกัคคตารมณ์ จิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้ควรแก่การงาน จิตนี้ย้อนกลับเข้ามาวิปัสสนา ถ้าจับต้องวิปัสสนาได้ วิปัสสนาไม่ได้นี่อินทรีย์ไม่แก่กล้าก็ฝึกฝนขึ้นไป พยายามสะสมของเราขึ้นมา

ถ้ามันสะสมได้นี่มันถึงจะทำได้ แล้วทำบ่อยครั้งเข้า หมั่นคราดหมั่นไถ ให้สิ่งนั้นความเข้าใจ ให้ใจมันเข้าใจในความเห็นผิดของใจ เพราะความเห็นผิดของใจนั้นคืออวิชชา อวิชชาความไม่เข้าใจ ความเห็นผิดต่าง ๆ นี่ สัจธรรมความจริงมันเป็นอยู่ธรรมชาติของมัน สัจธรรมความจริงเป็นธรรมชาติ ธรรมชาตินี้ก็เป็นธรรมอันหนึ่ง

แต่หัวใจนี้มันประหลาดมาก มันรู้สิ่งต่าง ๆ มันเข้าใจธรรมชาติ แล้วมันปล่อยวางธรรมชาติ แล้วมันทรงแต่สภาวะรู้อันนั้นไว้ นั้นคือวิชชา วิชชาคือความเข้าใจสัจจะความเป็นจริงต่าง ๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่ว่า เพราะถ้าสิ่งนี้เกลือกกลั้วกันแล้วมันก็เป็นสมมุติทั้งหมด มันต้องเวียนไปในวัฏวน แต่ถ้าสิ่งนี้มันปล่อยวางสัจจะตามความเป็นจริง ปล่อยธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง รู้ธรรมชาติแล้วปล่อยวางธรรมชาติไว้ เข้าใจธรรมชาติ

ถ้าเรารู้ธรรมชาติ เราอยู่ในธรรมชาตินั้น เราก็เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง เรานี่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แล้วเราก็ต้องโดนธรรมชาตินี้พัดไปตามกระแสกรรม กรรมนี้พัดให้จิตนี้หมุนเวียนไปตามธรรมชาตินั้น แล้วเราฝืนธรรมชาติไม่ได้ ฝืนความเกิดดับนี่ กิเลสก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วธรรมชาติอันนี้ก็ปล่อยวางได้

อย่างพายุลมแรงเกิดขึ้นมานี่มันสงบตัวลงได้ อารมณ์รุนแรงในหัวใจนี่มันเกิดดับ ๆ มันพลัดพรากตลอดเวลา เราจะเข้าใจสภาวะนั้น สิ่งนี้จะหลอกเราไม่ได้เลย จะเกิดจากใจเราอีกไม่ได้ มันจะปล่อยวางสภาวะไว้ตามความเป็นจริงถ้าเราเข้าใจตามสิ่งนั้น แล้วมันปล่อยวางได้ แต่มันจะปล่อยวางได้ ปัญญามันละเอียดอ่อนมาก มันต้องพลิกแพลงพยายามใคร่ครวญบ่อยครั้งเข้า ๆ พยายามวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นนี่ธรรม เราคบธรรมตลอดไป จนใจเป็นธรรม ไม่ใช่คบธรรม ทีแรกคบธรรมก่อน ฝึกฝนขึ้นมานี่คบขึ้นมา

เหมือนเราสะสมเงินทองขึ้นมา สะสมเงินทองกับเรานี่สะสมขึ้นมาเป็นของเรา แต่สุดท้ายแล้วเราเอาเงินทองไว้ เห็นไหม เงินทองฝากธนาคารไว้แต่ตัวเลขอยู่ที่เรา ยอดอยู่ที่เรา ความรู้สึกอยู่ที่เรา ความรู้สึกความเข้าใจทุกอย่างมันอยู่ที่ใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นธรรม ธรรมเป็นเจ้าของไง ข้าวของเงินทองนี่เป็นสมมุติ นี่เป็นตัวอย่างยกขึ้นมา มันก็ยังเป็นสิ่งที่ว่ามันจะเทียบเคียงนึกภาพไม่ออก

แต่ถ้าใจเป็นธรรมขึ้นมามันจะเข้าใจสิ่งนั้น แล้วสิ่งนี้มันเป็นนามธรรม มันไม่ต้องนึกไม่ต้องรักษา ไม่ต้องถนอมมัน มันขยับขึ้นมานี่จิตสติสัมปชัญญะมันจะพร้อมขึ้นมา มารเกิดไม่ได้ตรงที่ใจนี้เป็นธรรมขึ้นมา จากคบธรรมฝึกฝนธรรมขึ้นมาจนใจนั้นเป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจ

แล้วความสุขความทุกข์นี้ที่ว่ามันทุกข์ยากมาจากนอกนี่มันมาจากไหน? มารมันพยายามจะมาดลใจ พยายามจะให้เราไหลไปตามมัน มันจะมีอำนาจมากกว่าเราขนาดไหนถ้าเรามีธรรมในหัวใจ ธรรมในหัวใจนั้น เอโก ธัมโม หนึ่งไม่มีสอง เป็นเอก ไม่มีเรื่องของโลก โลกนี้เป็นของคู่ทั้งหมด มืดคู่กับสว่าง ทุกข์คู่กับสุข ความทุกข์คู่กับความสุข อย่างสิ่งต่าง ๆ เกิดแล้วต้องดับ เกิดแล้วต้องทำลายไป สิ่งที่ทำลายไปแล้ว ทำลายแล้วจนหมดไปก็เกิดขึ้นมาใหม่เพราะกระแสของกรรม

ดูอย่างพวกเปรต เห็นไหม เปรตคิชฌกูฏน่ะ พระโมคคัลลานะเห็นเปรตลอยอยู่กลางอากาศ เขาถอนขนของเขาออกไป แล้วก็กลายเป็นเหล็กแหลมพุ่งเข้ามาทำลายเขา เผาไหม้ตัวเขาจนหมดขึ้นไป แล้วก็เกิดสภาวะขึ้นมาใหม่ แล้วเขายิ้มขึ้นมา พระว่า “ยิ้มเพราะเหตุไร?” บอกว่า “ไม่พูด จะไปพูดต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” นี่เป็นพยานยืนยันในพระไตรปิฎก แล้วไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ที่เขาคิชฌกูฏมีเปรต เวลามันทำลาย มันเผาไหม้ตัวมันเองแล้วมันก็เกิดขึ้นมาอีก”

เห็นไหม สภาวะกรรมไม่สิ้นสุด มันทำลายมันแล้วมันก็เกิดขึ้นมาอีก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราเห็นมานมนานแล้วแต่เราไม่พูด เพราะไม่มีพยานหลักฐาน เดี๋ยวนี้พระโมคคัลลานะเห็น เรายืนยันว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง เป็นความจริงเพราะเราเห็นมาก่อนหน้านั้น แต่เราไม่พูด ไม่พยากรณ์ เพราะมันไม่เป็นประโยชน์ มันไม่ใช่อริยสัจ มันไม่ใช่สิ่งที่ทำลายกิเลส มันไม่ใช่เรื่องชำระกิเลสถึงไม่พูด แต่ถ้ามี มันมีอยู่จริง”

นี่สภาวะกรรมมีอยู่ ทำลายไปแล้วจะไม่ให้มีความคิดที่มันหลุดออกไปแล้วนี่ เวลาเราทุกข์มาก เวลามันปล่อยวางไปแล้ว จะไม่ให้มันเกิดอีก มันก็เกิดอีก สภาวะกรรมยังมีอยู่ แต่ถึงที่สุดแล้วมันจะทำลายได้ มันจะหมดไป จนหนึ่งไม่มีสองไง เป็นหนึ่งเดียวไม่มีสองที่จะเข้ามายุ่งในหัวใจเราอีกเลย นี่เอโก ธัมโม ธรรมอันเอก เกิดขึ้นมาจากเราฝึกฝน ทาน ศีล ภาวนา เราทำบุญทำทานแล้วเราก็ทำ พยายามฝึกฝนใจของเราก็ฝึกฝน เพื่อทำสมาธินี้ให้เกิดขึ้นมา

แล้วจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมาในหัวใจของเรา หัวใจของเราเรารักษาของเราขึ้นมา สภาวธรรมจะเกิดขึ้นมาเป็นแบบนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสงสารสัตว์โลกมากนะ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไป เพียงแต่ว่าเราจะมีอำนาจวาสนา เราจะดิ้นรนพยายามพาตัวเราพ้นไปได้ไหม เพราะไม่ได้ก็คือการประพฤติปฏิบัติ เราถึงต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อพยายามปฏิบัติให้ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน เอวัง